top of page

“ไข้หัดแมว” อาการอันตรายที่เจ้าของไม่ควรมองข้าม – รีบสังเกต รีบรักษา

  • EMUNE
  • 7 มิ.ย.
  • ยาว 1 นาที


โรคไข้หัดแมว (Feline Panleukopenia Virus, Feline Parvovirus Virus) เป็นโรคติดต่อที่เป็นโรคที่อันตรายถึงแก่ชีวิตของน้องแมว เรียกได้ว่าเป็นโรคที่อันตรายเบอร์ต้นๆของแมว โดยเฉพาะลูกแมวและแมวที่ยังไม่ได้รับวัคซีน

ไวรัสนี้จะโจมตีระบบภูมิคุ้มกัน ลำไส้ และไขกระดูก ทำให้แมวอ่อนแอ และอาจเสียชีวิตได้ภายใน 48–72 ชั่วโมงหากไม่รักษา

6 อาการที่บ่งบอกว่า “ไข้หัดแมว” เข้าขั้นอันตราย

  1. ถ่ายเหลวรุนแรง หรือมีเลือดปน

    เกิดจากเยื่อบุลำไส้อักเสบอย่างรุนแรงถ่ายบ่อย จนอ่อนแรงและขาดน้ำ

  2. อาเจียนต่อเนื่องหลายครั้ง

    อาเจียนน้ำใสหรือเหลืองจนตัวแห้ง อันตรายมากในลูกแมว

  3. เซื่องซึม ไม่ร่าเริงและเบื่ออาหาร

    ไม่ตอบสนองแมวที่เคยเล่นซน กลับนิ่ง ไม่ลุก ไม่สนใจอาหาร

  4. มีไข้สูง หรืออุณหภูมิลดต่ำ

    บางตัวเริ่มจากไข้สูง 40°C+ แต่ปลายทางอุณหภูมิกลับลดต่ำลงเสี่ยงต่อภาวะช็อก

  5. ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง

    แมวจะตัวแห้ง หนังยุบ หายใจแรง(สังเกตง่าย: จับหนังที่หลังแล้วยืดแล้วไม่เด้งคืน)

  6. เม็ดเลือดขาวต่ำ (pancytopenia)

    ไวรัสทำลายไขกระดูก ทำให้ภูมิคุ้มกันหายไปผลเลือดจะเห็นค่า WBC ต่ำมาก


⚠️ อาการเหล่านี้อันตรายแค่ไหน?

แมวที่เป็นไข้หัดแมว หากมีอาการ 2–3 ข้อขึ้นไปโดยเฉพาะ ถ่ายเหลว + ซึม + อาเจียนจำเป็นต้องพบสัตวแพทย์ทันทีเพราะหลายเคสเสียชีวิตภายใน 1–3 วันโดยไม่ได้รักษา

✅ วิธีป้องกัน "ไข้หัดแมว"

  • 🩺 พาแมวฉีดวัคซีน FPV (เริ่มตั้งแต่ 6–8 สัปดาห์)

  • 🧼 ฆ่าเชื้อสิ่งแวดล้อมด้วยเดทตอล หรือไฮเตอร์

  • 🐈‍⬛ แยกแมวใหม่ก่อนเข้าบ้าน (อย่างน้อย 14 วัน)

  • 🍲 ให้โภชนาการที่เหมาะสมเพื่อเสริมภูมิต้านทาน แต่ควรอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม (ให้มากไปก็ไม่ดี)


❗ ระวัง! อย่าสับสนกับโรค FIP

  • ไข้หัดแมว (FPV) = อาการเฉียบพลัน อาเจียน-ถ่าย-ไข้สูง

  • FIP = อาการค่อยเป็นค่อยไป มักมีน้ำในท้อง น้ำในปอด หรือซีดผอมเรื้อรัง

  • ทั้ง 2 โรคอันตรายต่างกัน แต่ต้องแยกให้ออก เพื่อรักษาให้ถูกวิธี

ไข้หัดแมวเป็นโรคที่อันตราย แต่การรักษาไม่ใช้ระยะเวลานานเท่าโรค FIP
หากพบว่าน้องแมวเป็นไข้หัดแมว และ FIP พร้อมกัน ให้รักษาไข้หัดแมวให้หายก่อน แล้วค่อยรักษาโรค FIP ต่อ

 
 
bottom of page